สถิติธุรกิจประกันชีวิตไทยครึ่งปีแรก 2568 เติบโตท่ามกลางความท้าทายและโอกาสใหม่

22 August 2025 263

ครึ่งปีแรกของปี 2568 ธุรกิจประกันชีวิตไทยยังเดินหน้าเติบโตอย่างมั่นคง เบี้ยประกันภัยรับรวมอยู่ที่ 326,588 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 4.87% เมื่อเทียบกับปี 2567 สะท้อนให้เห็นว่าทั้งความต้องการความคุ้มครองและการออมระยะยาวยังเป็นสิ่งที่คนไทยให้ความสำคัญ 

เบี้ยประกันชีวิตรายใหม่ หนุนความเชื่อมั่นผู้บริโภค

โดยเบี้ยประกันภัยรับรายใหม่ (New Business Premium) ที่สูงถึง 94,916 ล้านบาท หรือเติบโตกว่า 7.38% สะท้อนให้เห็นถึงความสนใจทำประกันที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน

ส่วนเบี้ยประกันภัยรับปีแรก (First Year Premium) เติบโตอย่างโดดเด่นถึง 9.32% คิดเป็น 62,938 ล้านบาท ในขณะที่ เบี้ยประกันภัยจ่ายครั้งเดียว (Single Premium) ก็ยังคงเติบโตที่ 3.77%โดยมียอด 31,978 ล้านบาท ซึ่งทำให้เห็นถึงความต้องการที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภคในการวางแผนทางการเงินระยะยาว และการมองหาเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงที่มั่นคง

นอกจากลูกค้าใหม่แล้ว เบี้ยประกันภัยรับปีต่อไป (Renewal Premium) ก็มีทิศทางที่ดีเช่นกัน โดยเติบโตเพิ่มขึ้น 3.88% ด้วยยอดรวม 231,672 ล้านบาท และมีอัตราความคงอยู่ของกรมธรรม์สูงถึง 82%  ซึ่งสะท้อนถึงความพึงพอใจ และความเชื่อมั่นในระยะยาวของลูกค้าที่มีต่อบริษัทประกันชีวิต

ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตสุดฮิต ครึ่งปีแรก 2568 ที่ผู้บริโภคให้ความสนใจมากที่สุด

ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตดาวเด่นที่ได้รับความนิยมสูงสุด คือ สัญญาเพิ่มเติมประกันสุขภาพ ซึ่งมียอดเติบโตถึง 18.99% หรือ 61,219 ล้านบาท สอดคล้องกับสถานการณ์ที่ค่ารักษาพยาบาลเพิ่มขึ้นทุกปี

นอกจากนี้ ประกันชีวิตแบบบำนาญ (Annuity Insurance)​​ ก็เติบโตอย่างน่าสนใจที่ 9.51% ด้วยยอดรวม 6,242 ล้านบาท เห็นได้ว่าคนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับการวางแผนเกษียณอย่างมั่นคงมากขึ้น ขณะเดียวกัน ประกันชีวิตควบการลงทุน (Unit-Linked) ก็ยังคงได้รับความนิยม โดยเติบโต 7.54% หรือ 19,412 ล้านบาท ซึ่งตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการทั้งผลตอบแทนและความคุ้มครองไปพร้อมกัน

สถิติเบี้ยประกันชีวิตแยกตามช่องทางการจำหน่าย ไตรมาส 2 ปี 2568

ข้อมูล ณ ไตรมาส 2 ปี 2568 แสดงให้เห็นถึงภาพรวมของช่องทางการจำหน่ายประกันชีวิตในปัจจุบัน โดยมีรายละเอียดดังนี้:

  • ตัวแทนประกันชีวิต (Agency): ยังคงครองส่วนแบ่งตลาดสูงสุดที่ 50.06% และเติบโตต่อเนื่องที่ 5.12%
  • ธนาคาร (Bancassurance): ครองอันดับสองด้วยสัดส่วน 39.18% และเติบโต 4.46%
  • นายหน้าประกันชีวิต (Broker): มีสัดส่วน 5.81% และเติบโต 0.06% ด้วยการเข้าถึงลูกค้าได้หลากหลายในการเลือกผลิตภัณฑ์จากหลายบริษัท ทำให้สามารถเสนอแบบประกันที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า
  • ช่องทางอื่น (Others): มีสัดส่วน 2.76% และเติบโตอย่างน่าสนใจถึง 17.69%
  • ทางโทรศัพท์ (Tele Marketing): มีสัดส่วน 1.96% และเติบโต 1.99%
  • ช่องทางดิจิทัล (Digital): แม้สัดส่วนจะยังน้อยเพียง 0.23% แต่การเติบโตกลับสูงถึง 28.21% ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป

การเติบโตที่โดดเด่นของช่องทางดิจิทัล เป็นสิ่งที่ทำให้เห็นถึงความสนใจของคนรุ่นใหม่ในการทำธุรกรรมออนไลน์มากขึ้น ซึ่งเป็นโอกาสสำคัญสำหรับธุรกิจในอนาคต

ปัจจัยที่มีผลต่อการเติบโตของธุรกิจประกันชีวิตไทย

  • ความกังวลด้านค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ที่เพิ่มสูงขึ้น

ปัจจุบัน ประชาชนเริ่มตระหนักถึงผลกระทบของ อัตราเงินเฟ้อทางการแพทย์ (Medical Inflation) ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะค่ารักษาพยาบาลที่เพิ่มขึ้นเกิน 15% ซึ่งสูงกว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอย่างชัดเจน ความกังวลนี้ทำให้คนเริ่มมองหาความคุ้มครองทางการเงินที่ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพในอนาคต

  • ความเสี่ยงจากสิ่งแวดล้อมและโรคอุบัติใหม่

นอกจากเรื่องค่าใช้จ่ายด้านการรักษาแล้ว ความเสี่ยงจากสิ่งแวดล้อมก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญ ทั้งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มลภาวะ และโรคอุบัติใหม่ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ล้วนสร้างความไม่แน่นอนต่อชีวิตและสุขภาพ ทำให้การมีประกันจึงกลายเป็นเกราะป้องกันที่หลายคนให้ความสำคัญมากขึ้น

  • การเข้าสู่สังคมสูงวัยและความต้องการวางแผนการเงินในระยะยาว

ประเทศไทยได้เข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ โครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนแปลงไปนี้ส่งผลให้คนรุ่นใหม่ตระหนักถึงความสำคัญของการวางแผนการเงินเพื่อการเกษียณมากขึ้น ผลิตภัณฑ์ ประกันชีวิตแบบบำนาญ (Annuity Insurance) จึงได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น เนื่องจากเป็นเครื่องมือทางการเงินที่มีความมั่นคงและมีความเสี่ยงต่ำ ไม่เพียงช่วยเก็บเงินอย่างมีวินัยและคุ้มครองชีวิต อีกทั้งยังได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี ทำให้การวางแผนชีวิตระยะยาวง่ายขึ้นและคุ้มค่ามากขึ้น

เพื่อตอบรับแนวโน้มนี้ บริษัทประกันจึงปรับผลิตภัณฑ์ให้ครอบคลุมความต้องการได้ดียิ่งขึ้น เช่น การขยายอายุรับประกันสุขภาพจนถึง 80 ปี ซึ่งช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กลุ่มผู้สูงวัยที่ต้องการความคุ้มครองต่อเนื่อง พร้อมทั้งสร้างโอกาสทางการตลาดใหม่ที่มีศักยภาพสูง

  • ความผันผวนทางเศรษฐกิจและการแสวงหาช่องทางการลงทุนที่ยืดหยุ่น

นอกจากนี้ ความผันผวนทางเศรษฐกิจ ก็เป็นแรงผลักดันอีกด้านหนึ่ง นักลงทุนจำนวนไม่น้อยหันมามองหาช่องทางที่ยืดหยุ่นและปลอดภัย ส่งผลให้ ประกันชีวิตควบการลงทุน (Unit-Linked) ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น เนื่องจากสามารถผสานทั้งความคุ้มครองและโอกาสในการสร้างผลตอบแทนในระยะยาว

แม้สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและสังคมยังคงเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง แต่ตัวเลขการเติบโตในครึ่งปีแรกของปี 2568 ได้พิสูจน์แล้วว่า ธุรกิจประกันชีวิตไทยยังคงยืนหยัดและพร้อมก้าวสู่โอกาสใหม่ เพื่อมอบความคุ้มครองและความมั่นใจให้กับคนไทยในทุกช่วงชีวิต

แหล่งข้อมูลอ้างอิง  สมาคมประกันชีวิตไทย

เขียนโดย นางสาวรัชชนก ผิวทองงาม
ผู้จัดการฝ่ายการตลาด
บริษัท ศรีกรุงโบรคเกอร์ จำกัด