
หลายคนอาจจะเคยคิดว่า… “ไม่ยื่นภาษีคงไม่เป็นไรหรอก สรรพากรไม่มีทางรู้หรอกว่าเรามีรายได้จริง ๆ เท่าไหร่”
ความจริงคือ สรรพากรมีระบบที่ทันสมัยและเชื่อมโยงข้อมูลกันมากกว่าที่หลายคนคิด
ด้วยเทคโนโลยีและฐานข้อมูลขนาดใหญ่ รายได้ของเราจึงแทบไม่สามารถ “หายไปจากระบบ” ได้เลย วันนี้จะพาไปดูว่า สรรพากรรู้รายได้ของเราได้จากช่องทางใดบ้าง

1. เอกสารการรับเงิน ภาษีหัก ณ ที่จ่าย และเอกสารค่าใช้จ่าย
แม้ว่าเราจะรับรายได้เป็นเงินสดโดยไม่ผ่านบัญชีธนาคาร แต่หากผู้จ่ายเงินเป็น นิติบุคคลหรือบริษัท ผู้จ่ายมีหน้าที่จะต้อง หักภาษี ณ ที่จ่าย และนำส่งเงินภาษีที่หักไว้นั้นให้แก่สรรพากร รวมถึงส่งข้อมูลผู้รับเงิน ทั้งชื่อ นามสกุล เลขบัตรประชาชน ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะถูกบันทึกไว้ในฐานข้อมูลของสรรพากร
นอกจากนี้ หากบริษัทผู้จ่ายเงินถูกตรวจสอบ จะต้องมีการนำส่งรายการการบันทึกค่าใช้จ่ายของบริษัทให้กับสรรพากร เช่น ใบกำกับภาษี ใบเสร็จรับเงิน โดยเอกสารเหล่านี้จะระบุชื่อเราไว้ครบถ้วน ซึ่งสรรพากรสามารถนำข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์ต่อได้
ดังนั้น แม้จะรับเงินสดโดยไม่โอนเข้าบัญชี รายได้ของเราก็ยังสามารถถูกตรวจสอบได้จากเอกสารภาษีของผู้จ่ายเงินอยู่ดี
2. เงินโอนเข้าบัญชี
หากเรามีเงินเข้าบัญชี ไม่ว่าจะเป็นรายได้จากงานประจำ ธุรกิจส่วนตัว หรือการขายของออนไลน์รวมถึงเงินฝากเข้าบัญชี หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นธนาคารพาณิชย์ ธนาคารภาครัฐ และผู้ให้บริการด้านการเงินอื่น ๆ อย่าง e-Wallet และ Payment Gateway ซึ่งมีหน้าที่นำส่งข้อมูล “ธุรกรรมลักษณะเฉพาะ” ให้กรมสรรพากร
โดยเงื่อนไขคือ
- มีเงินเข้าบัญชี 3,000 ครั้งต่อปี (ไม่สนใจยอดเงิน นับเฉพาะจำนวนครั้ง)
- หรือมีเงินเข้าบัญชี 400 ครั้ง/ปี และมียอดรวมเกิน 2 ล้านบาท (ต้องเข้าทั้ง 2 เงื่อนไข)
โดยจะรวบรวมข้อมูลทั้งปีคือ ตั้งแต่ 1 มกราคม – 31 ธันวาคม ของปีนั้น ๆ ข้อมูลเหล่านี้ สรรพากรจะนำไปประมวลร่วมกับข้อมูลอื่น ๆ เพื่อพิจารณาว่าผู้มีรายได้ถึงเกณฑ์ต้องยื่นภาษีหรือไม่
หมายเหตุ : ข้อมูล “ธุรกรรมลักษณะเฉพาะ” ที่กำหนดจะนับเฉพาะการฝากหรือรับโอนเงินเข้าบัญชีรวมกันทุกบัญชีของแต่ละธนาคาร ใน 1 ปี ไม่รวมธุรกรรมที่เป็นการโอนออก ถอนเงิน หรือบัญชีต่างธนาคารกัน เช่น หากเปิดบัญชีธนาคาร A 4 บัญชี และธนาคาร B อีก 3 บัญชี แต่ละธนาคารก็จะนับเฉพาะยอดฝากหรือโอนเงินของธนาคารตนเอง ไม่ไปนับยอดจากบัญชีอีกธนาคารหนึ่ง
3. ช่องทางแจ้งเบาะแสผ่านเว็บไซต์กรมสรรพากร
กรมสรรพากรยังมีช่องทางที่เปิดให้ประชาชนสามารถ แจ้งเบาะแสหรือให้ข้อมูลเกี่ยวกับผู้ที่อาจหลีกเลี่ยงภาษี ได้โดยตรง ผ่านเว็บไซต์ www.rd.go.th ที่เมนู “แจ้งเบาะแสหลีกเลี่ยงภาษี” สำหรับผู้ที่ต้องการส่งข้อมูลกิจการหรือบุคคลที่สงสัยว่าอาจมีรายได้แต่ไม่ได้ยื่นภาษีอย่างถูกต้อง เมื่อมีการแจ้งข้อมูลเข้ามา สรรพากรจะตรวจสอบรายละเอียดและนำไปใช้ประกอบการประเมินภาษีต่อไป
ดังนั้น หากมีผู้แจ้งเบาะแสเกี่ยวกับรายได้ของเรา หรือธุรกิจที่เราทำอยู่ ข้อมูลเหล่านั้นอาจถูกนำไปตรวจสอบได้เช่นกัน
4. Web Scraping จับตารายได้พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์
กรมสรรพากรใช้เทคโนโลยี Web Scraping เพื่อดึงข้อมูลจากเว็บไซต์และแพลตฟอร์ม E-commerce ต่าง ๆ เช่น Shopee, Lazada, TikTok Shop หรือ Facebook Marketplace รวมถึงช่องทางไลฟ์สดขายของ เพื่อตรวจสอบกลุ่มผู้ค้าออนไลน์โดยเฉพาะ และที่สำคัญ แพลตฟอร์มที่จ่ายเงินให้เราเหล่านี้ จะออกใบกำกับภาษีให้เราและส่งข้อมูลไปสรรพากรพร้อมกันด้วย
5. Big Data & Data Analytics
อีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญที่กรมสรรพากรนำมาใช้คือ Big Data & Data Analytics เพื่อคัดกรองว่าใครจัดอยู่กลุ่มเสี่ยงในการเลี่ยงภาษี หรือยื่นภาษีไม่ครบ และใครอยู่ในกลุ่มดี โดยสรรพากรจะเชื่อมโยงข้อมูลกับ การไฟฟ้า การประปา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ เพื่อเช็คว่าค่าไฟฟ้า ค่าน้ำ หรือข้อมูลในการทำธุรกรรมของเราใกล้เคียงหรือแตกต่างกับผู้ประกอบการอื่นในธุรกิจเดียวกันหรือไม่
ตัวอย่างเช่น หากบริษัทแห่งหนึ่งมีค่าไฟฟ้าสูงผิดปกติ แต่รายได้ที่ยื่นภาษีกลับน้อยมากเมื่อเทียบกับธุรกิจประเภทเดียวกัน ระบบจะมองว่าเป็น “ความผิดปกติ” และอาจถูกสุ่มตรวจสอบเพิ่มเติมได้ทันที
6. การเข้าร่วมโครงการของรัฐ
ปัจจุบันรัฐบาลได้จัดทำโครงการต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือและกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น คนละครึ่ง, ช้อปดีมีคืน, เราชนะ, และ ชิมช้อปใช้ ซึ่งผู้ที่เข้าร่วมโครงการเหล่านี้จะต้องใช้ข้อมูลส่วนบุคคลและบัญชีธนาคารในการลงทะเบียน
ข้อมูลที่ผู้เข้าร่วมกรอกไว้ รวมถึงข้อมูลการใช้จ่ายในโครงการ จะถูกเชื่อมโยงและส่งต่อให้กับ กรมสรรพากร เพื่อใช้ในการตรวจสอบความถูกต้องของรายได้และสิทธิ์ทางภาษี ถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ทำให้สรรพากรสามารถมองเห็นรายได้ของผู้ประกอบการหรือบุคคลทั่วไปได้ชัดเจนขึ้น
7. การสุ่มตรวจ
วิธีง่าย ๆ ที่สรรพากรทำอีกอย่างคือ “สุ่มตรวจ” เจ้าหน้าที่สรรพากรอาจลงพื้นที่ตามที่ตนรับผิดชอบ เช่น ร้านค้า แผงลอยริมทาง โดยการสังเกตุจากจำนวนที่ลูกค้าเข้ามาใช้บริการ หรือจำนวนชิ้นที่ขายได้แล้วประเมินรายได้ว่าควรจะเป็นเท่าไหร่
ในปัจจุบันอาจมีการสุ่มตรวจจากโซเชียลต่าง ๆ เช่น การโพสต์โชว์รายได้ ยอดโอนเงิน หรือการไลฟ์สดขายของ ข้อมูลเหล่านี้สามารถนำมาวิเคราะห์ร่วมกับข้อมูลภาษีเพื่อประเมินความถูกต้องของรายได้ได้เช่นกัน
8. กรณีพนักงานประจำ
สำหรับพนักงานประจำ รายได้ของคุณจะอยู่ในระบบของสรรพากรตั้งแต่ต้นทางอยู่แล้ว เพราะทุกเดือนบริษัทมีหน้าที่ต้อง หักภาษี ณ ที่จ่าย และนำส่งข้อมูลรายได้ของพนักงานให้กรมสรรพากร ผ่านแบบ ภ.ง.ด.1 และ ภ.ง.ด.1ก
ขณะเดียวกัน พนักงานก็จะได้รับ ใบ 50 ทวิ (หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย) จากบริษัทเพื่อนำไปใช้ยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในช่วงต้นปีถัดไป ซึ่งข้อมูลในเอกสารนี้จะต้องตรงกับข้อมูลที่บริษัทส่งให้สรรพากรไว้แล้ว เรียกได้ว่า รายได้ของพนักงานประจำเป็นสิ่งที่กรมสรรพากรรู้อยู่แล้วตั้งแต่ต้นทางเลย
จากช่องทางทั้งหมดจะเห็นได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นรายได้จากเงินเดือน ธุรกิจส่วนตัว ขายของออนไลน์ ฟรีแลนซ์ หรือแม้แต่การเข้าร่วมโครงการของรัฐ ทุกอย่างล้วนมี “ร่องรอยทางข้อมูล” ที่เชื่อมโยงถึงกัน กรมสรรพากรอาจไม่รู้ทันที แต่สุดท้ายก็หนีไม่พ้น
ดังนั้น แทนที่จะกังวลว่าจะโดน “ภาษีย้อนหลัง” หรือ “สรรพากรรู้รายได้หรือไม่” สิ่งที่ควรทำคือ “การวางแผนภาษีอย่างถูกต้อง” ตั้งแต่ต้น เพื่อให้มั่นใจว่าเราได้ยื่นภาษีครบถ้วนและไม่ต้องเสี่ยงต่อการถูกเรียกตรวจในอนาคต และหนึ่งในวิธีที่ช่วยทั้งการวางแผนภาษีและสร้างความคุ้มครองให้กับชีวิตไปพร้อมกันก็คือ การใช้สิทธิหักลดหย่อนจากเบี้ยประกันชีวิต ไม่เพียงช่วยลดภาระภาษี แต่ยังเป็นการสร้างหลักประกันให้ตัวเองและครอบครัวในระยะยาวอีกด้วย
หากได้รับจดหมายจากสรรพากร โดน“ภาษีย้อนหลัง” อย่าเพิ่งตกใจ โดยปกติแล้วการติดต่อครั้งแรกจากกรมสรรพากรจะส่งมาในรูปแบบจดหมายทางไปรษณีย์เท่านั้น ไม่ใช่การโทรศัพท์ ไลน์ หรือช่องทางออนไลน์อื่น ๆ ดังนั้น หากมีการติดต่อครั้งแรกที่ไม่ใช่จดหมาย ควรระมัดระวังและสันนิษฐานไว้ก่อนว่าอาจเป็นมิจฉาชีพ แต่ทางที่ดีควรติดต่อไปยังสรรพากรพื้นที่ ว่ามีจดหมายมาถึงเราจริงหรือไม่ เนื่องจากมิจฉาชีพ อาจทำการปลอมแปลงจดหมายได้
เมื่อได้รับจดหมายและตรวจสอบแล้วว่าเป็นจดหมายจากสรรพากรจริง สิ่งสำคัญที่สุดคือ รีบติดต่อเจ้าหน้าที่ตามที่ระบุไว้ในจดหมาย เพื่อแสดงความพร้อมในการให้ความร่วมมือ และดำเนินการแก้ไขเรื่องภาษีให้ถูกต้องตามขั้นตอน
เขียนโดย คุณนุชจรินทร์ โนบรรเทา
ผู้จัดการ การเงินการลงทุน
วางแผนภาษีให้คุ้ม เริ่มต้นได้กับ ศรีกรุงประกันชีวิตโบรคเกอร์
อย่าปล่อยให้ภาษีกลายเป็นภาระ เพราะคุณสามารถ “วางแผนภาษีให้คุ้มค่า” ได้ด้วย ประกันชีวิตลดหย่อนภาษี ช่วยลดหย่อนได้สูงสุดถึง *100,000 บาทต่อปี พร้อมสร้างความคุ้มครองให้ตัวเองและครอบครัวในเวลาเดียวกัน
ศรีกรุงประกันชีวิตโบรคเกอร์ พร้อมให้คำปรึกษา เลือกแผนประกันจากหลายบริษัทชั้นนำ เพื่อให้เหมาะกับเป้าหมายทางการเงินของคุณมากที่สุด
ดูแลทุกช่วงชีวิต คิด-เพื่อ-คุณ
ติดต่อได้ที่ ศรีกรุงประกันชีวิต ใกล้บ้านท่าน
หรือติดต่อสอบถามทาง Line: @SrikrungLife
ติดต่อผ่าน Facebook: facebook.com/SKLifeBroker
โทร: 02-867-3857
กรุงเทพประกันชีวิต
เอฟดับบลิวดีประกันชีวิต
ฟิลลิปประกันชีวิต
ทีไลฟ์
แรบบิท ไลฟ์
อาคเนย์ประกันชีวิต