โรค RSV ภัยร้ายในเด็กที่พ่อแม่ไม่ควรมองข้าม

17 September 2025 56

โรค RSV หรือ (Respiratory Syncytial Virus) กำลังเป็นปัญหาสุขภาพที่พ่อแม่ควรเฝ้าระวัง โดยเฉพาะในเด็กเล็ก เพราะแม้อาการเริ่มต้นจะคล้ายไข้หวัดธรรมดา เช่น ไข้ ไอ หรือมีน้ำมูก แต่หากปล่อยไว้ อาจลุกลามเป็นหลอดลมอักเสบหรือปอดอักเสบได้ 

โรค RSV คืออะไร?

โรค RSV หรือ Respiratory Syncytial Virus เป็นเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดการติดเชื้อทางเดินหายใจ ทั้งในส่วนบนและส่วนล่าง ซึ่งพบได้บ่อยในเด็ก โดยเฉพาะเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 3 ปี และมักระบาดในช่วงฤดูฝนและฤดูหนาว เชื้อนี้มี 2 สายพันธุ์หลัก คือ RSV-A และ RSV-B ซึ่งสามารถก่อให้เกิดอาการรุนแรงได้ นอกจากนี้ยังพบการติดเชื้อ RSV ในผู้สูงอายุ ซึ่งมีความเสี่ยงเกิดภาวะแทรกซ้อนเช่นเดียวกับในเด็กเล็ก และมักมีการระบาดทุกปี

อาการโรค RSV ในเด็ก

หลังติดเชื้อ RSV เด็กอาจเริ่มแสดงอาการภายใน 2–8 วันแรก โดยส่วนใหญ่เฉลี่ยอยู่ที่ 4–6 วันแรก มักมีอาการคล้ายไข้หวัด เช่น มีไข้ ไอ จาม คัดจมูก และน้ำมูกไหล ซึ่งอาจทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นเพียงหวัดธรรมดา

แต่ในเด็กเล็กบางราย อาจมีอาการรุนแรงที่ควรรีบพบแพทย์ทันที ได้แก่

  • ไข้สูงมากกว่า 39 องศาเซลเซียส 
  • ไอจนอาเจียน ไอแรง 
  • หอบเหนื่อย หายใจเร็วหอบจนชายโครงหรืออกบุ๋ม 
  • หายใจออกลำบากหรือหายใจมีเสียงหวีดหวิว
  • หายใจมีเสียงครืดคราด
  • มีเสมหะในลำคอมาก ๆ
  • รับประทานอาหารหรือนมได้น้อย 
  • ซึมลง ปากซีดเขียว

หากพบอาการเหล่านี้ ควรพาไปพบแพทย์โดยด่วน เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน เช่น หลอดลมอักเสบหรือปอดอักเสบ

การแพร่กระจายของเชื้อไวรัส RSV

เชื้อ RSV ติดต่อได้ง่ายผ่านละอองจากการไอหรือจาม และการสัมผัสโดยตรงกับสารคัดหลั่ง เช่น น้ำมูกหรือน้ำลายของผู้ป่วย เชื้อสามารถเข้าสู่ร่างกายได้ทางจมูก ปาก และเยื่อบุตา

นอกจากนี้ เชื้อยังเกาะอยู่บนสิ่งของได้หลายชั่วโมง เช่น ของเล่น ภาชนะ หรือเฟอร์นิเจอร์ หากเด็กสัมผัสแล้วนำมือเข้าปากหรือขยี้ตา ก็มีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย และบนมือเชื้อก็สามารถอยู่ได้นานอย่างน้อย 30 นาที ผู้ที่เลี้ยงดูเด็กจำนวนมาก สามารถส่งผ่านเชื้อได้หากไม่ล้างมือหลังสัมผัสน้ำมูก น้ำลายของเด็กที่ติดเชื้อ จึงอาจแพร่ต่อให้เด็กคนอื่นได้ โดยทั่วไป ผู้ป่วยที่ติดเชื้อ RSV สามารถแพร่เชื้อได้นานประมาณ 3–8 วัน และการติดเชื้อมักเกิดขึ้นในสถานที่ที่เด็กอยู่รวมกัน เช่น โรงเรียน ศูนย์เลี้ยงเด็ก หรือการเล่นของเล่นร่วมกันผู้อื่น

แนวทางการรักษาโรค RSV

ปัจจุบันยังไม่มียาที่สามารถรักษาเชื้อไวรัส RSV ได้โดยตรงแต่ใช้วิธีรักษาตามอาการและป้องกันภาวะแทรกซ้อน โดยทั่วไปสามารถดูแลได้ดังนี้

  1. การรักษาที่บ้าน (กรณีอาการไม่รุนแรง)
    • ให้ยาลดไข้หรือยาละลายเสมหะตามคำแนะนำแพทย์
    • ดื่มน้ำมาก ๆ และพักผ่อนให้เพียงพอ
    • ดูแลสถานที่ให้อากาศถ่ายเท ไม่อับชื้น
    • สังเกตอาการใกล้ชิด หากเริ่มหอบหรือกินได้น้อย ควรรีบพบแพทย์ทันที
  2. การรักษาในโรงพยาบาล (กรณีอาการรุนแรง)
    • ใช้การพ่นยาขยายหลอดลมด้วยออกซิเจนละอองฝอย
    • เคาะปอดและดูดเสมหะเพื่อลดอาการหายใจลำบาก
    • ให้ออกซิเจนช่วยหายใจหากมีภาวะขาดออกซิเจน

โดยทั่วไป โรค RSV จะใช้เวลาฟื้นตัวประมาณ 1–2 สัปดาห์ แต่ในเด็กเล็กหรือผู้ที่ร่างกายอ่อนแอ มีโอกาสกลับมาติดเชื้อซ้ำได้อีก จึงต้องหมั่นดูแลสุขภาพและป้องกันอย่างต่อเนื่อง

วิธีการป้องกันโรค RSV

แม้โรค RSV จะยังไม่มียารักษาเฉพาะ แต่ผู้ปกครองสามารถลดความเสี่ยงได้ด้วยการดูแลสุขอนามัยและสิ่งแวดล้อมรอบตัว เช่น

  • หมั่นล้างมือบ่อยๆ ทั้งของเด็กและผู้เลี้ยงดู เพราะการล้างมือนอกจากจะลดเชื้อ RSV และเชื้อไวรัสอื่นๆรวมถึงแบคทีเรียที่ติดมากับมือทุกชนิด
  • หลีกเลี่ยงการพาเด็กไปในสถานที่แออัด
  • ทำความสะอาดของเล่นและอุปกรณ์ที่ใช้ร่วมกันอย่างสม่ำเสมอ
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสควันบุหรี่ เนื่องจากอาจทำให้เกิดอาการรุนแรงในขณะที่มีการติดเชื้อไวรัสRSVได้
  • ควรรับประทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะ ดื่มน้ำมากๆ และพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่อยู่ในห้องแอร์ตลอดเวลา
  • สำหรับผู้ปกครองเมื่อบุตรหลานมีอาการป่วยเป็นไข้หวัด ควรงดการออกนอกบ้านเพื่อเป็นการป้องกันการแพร่เชื้อไปยังผู้อื่น และควรปิดปากปิดจมูกเวลาไอจาม

สุขภาพที่มั่นคง ต้องพร้อมทั้งการป้องกันและการดูแล

แม้เชื้อไวรัสRSV จะหายได้เองในหลายกรณี แต่หากมีภาวะแทรกซ้อนจนต้องนอนโรงพยาบาล ค่าใช้จ่ายด้านการรักษาอาจสูงกว่าที่คาดไว้ ดังนั้น นอกจากการดูแลสุขอนามัยและการป้องกันแล้ว พ่อแม่ควรเตรียมความพร้อมด้วย ประกันสุขภาพสำหรับลูกน้อย หรือแผนประกันชีวิตที่ครอบคลุม ก็ช่วยสร้างความมั่นใจได้ว่า หากเกิดเหตุไม่คาดคิด ครอบครัวจะสามารถโฟกัสไปที่การดูแลลูกน้อยได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องกังวลกับภาระค่าใช้จ่าย

👉 คลิกที่นี่เพื่อดูแผนประกันสุขภาพเด็ก

แหล่งข้อมูล : 

โรงพยาบาลศิริราชปิยมหาราชการุณย์
สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย
โรงพยาบาลกรุงเทพ

เขียนโดย นางสาวรัชชนก ผิวทองงาม
ผู้จัดการฝ่ายการตลาด